วันนี้ผู้เขียนขอหลีกเลี่ยงและหลบหลีกที่จะคุยกันถึงการเมืองและเรื่องสีต่างๆนะคะ เพราะเครียด…เครียด…และ..เครียดมาตั้งแต่เริ่มติดตามข่าวการเมืองทั้งหลาย แถมเกิดอาการที่ไม่ค่อยน่าวางใจตามมาอีกด้วย นั่นคือต้องถกเถียงทะเลาะกับบรรดาเพื่อนๆสนิททั้งหลายด้วยเหตุผลที่ไม่คุ้มค่านัก เพราะเถียงกันไปทะเลาะกันไปก็ไม่เห็นได้อะไรที่ดีขึ้นมาสักนิด ไปๆมาๆก็คนไทยด้วยกันทั้งนั้น แทนที่จะเอาเวลาเหล่านั้นมาช่วยกันสร้างสรรค์อะไรดีๆให้ประเทศชาติของเรา กลับเอามาทำลายกันซะย่อยยับป่นปี้
ถามจริงๆเถอะค่ะ จะเป็นศัตรูกันไปแบบนี้ไปตลอดชาติและทุกชาติหน้าเลยหรือไง? นั่นไง เผลอหน่อยเดียวความเครียดเริ่มพุ่งปรี๊ดอีกแล้ว… เปลี่ยนเรื่องจากคนไปคุยเรื่อง(คุณ)หมากันดีกว่าค่ะ..
ในบรรดาหมาๆที่ผู้เขียนเคยเลี้ยงมานั้น แต่ละตัวจะมีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกันไป บางตัวจะชอบนั่งสูดอากาศยามเช้าในวันที่มีแสงแดดสดใส แล้วปล่อยความคิดคำนึงไปเรื่อยๆตามแบบหมานักคิดอิสระ มันอาจจะกำลังดื่มด่ำกับภาพที่สวยงามยามเช้าและในใจมันก็คงกำลังฮัมเพลงWhat A Wonderful World ของLouis Armstrong ไปด้วยก็ได้ โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า…
“ I see skies of blue and clouds of white
The bright blessed day, the dark sacred night
And I think to myself, what a wonderful world….”
เพราะหมาฝรั่งจะไปร้องเพลงไทยลูกทุ่งได้ไงกันล่ะคะ?
“แล้วเธอรู้ได้ไงว่าในใจหมามันจะร้องเพลง? ท่าทางจะเตลิดออกนอกโลกแล้วทั้งหมาทั้งคนเขียน” มีใครคนหนึ่งแหลมขึ้นมาทำลายสมาธิซะแล้วล่ะค่ะ
“คนเรามันก็ต้องใช้จินตนาการให้เกิดประโยชน์บ้างสิ แล้วมันแปลกยังไงถ้าหมามันจะมีอารมณ์สุนทรีย์ในเรื่องเพลงบ้าง มันก็เป็นสัตว์โลกที่มีชีวิตจิตใจและวิญญาณเหมือนคนนั่นแหละย่ะ! เพียงแต่มันพูดไม่ได้เหมือนคนเท่านั้นเอง” ผู้เขียนรู้สึกเดือดนิดๆที่ถูกขัดจังหวะในการเล่า
“ก็เพราะมันพูดไม่ได้น่ะสิ ฉันถึงถามว่าแล้วหมามันจะร้องเพลงได้ไงกัน?”
“ก็กำลังบอกอยู่นี่ไงว่ามันอาจจะร้องเพลงอยู่ในใจ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ในโลกนี้มันก็ต้องมีภาษาที่จะสื่อสารในใจกับตัวเองทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นสัตว์มันจะรู้หรือว่าอะไรอันตรายหรือปลอดภัยสำหรับมัน”
“เอ้า!…งั้นเชิญหมาของเธอร้องเพลงต่อไปอย่างมีความสุขก็แล้วกันนะ ฉันขอหลบไปอยู่ห่างๆดีกว่า”
หมาบางตัวก็ไม่สนใจเรื่องความสวยความงามอะไรในโลกนี้ทั้งนั้น สนใจอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องกิน…กิน…กิน..และกิน…จนน้ำหนักเพิ่มเกินพิกัดมาตราฐานของหมาทั่วไป ใครจะไปจะมา มันก็ไม่เคยส่งเสียงเห่าให้เจ้าของรู้ตัว มีการนอนมองแบบเนือยๆเซ็งๆและง่วงๆอีกต่างหาก เวลาผู้เขียนพามันไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายและรับวัคซีนประจำปี หมอบอกว่า…
“หลังของหมาตัวนี้น่าวางถ้วยกาแฟจังเลย ลักษณะท่าทางมันดูหนักและหนาเหมือนโต๊ะกาแฟที่บ้านฉันจริงๆ “
แหม!หมอพูดแบบนี้เนี่ย ทำให้อยากยุยงส่งเสริมหมาให้กัดเนื้อที่ปากของหมอแทนการจ่ายค่ารักษาจังเลยล่ะ โต๊ะในโลกนี้มีมากมายก็ไม่วาง ทำไมต้องมาอยากวางถ้วยกาแฟบนหลังหมาของเราด้วย(วะ)?
บางตัวเห็นอะไรไม่ได้ทั้งนั้น มันจะเห่าทั้งวัน และเห่าแบบมั่วๆอุตลุตไปหมดทุกเรื่อง ผู้เขียนบอกให้มันหยุดเห่ากลับยิ่งทำท่าตื่นเต้นเห่าดังยิ่งกว่าเก่า เห่าไปวิ่งไปทำท่าเคร่งเครียดน่ากลัวยังกับมองเห็นมนุษย์ต่างดาวที่ไหนมางั้นแหละค่ะ กะแค่เห็นกระต่ายป่าเล็กๆตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ได้ยินเสียงแกรกกรากอะไรนิดหนึ่งเป็นไม่ได้ มันจะกระโจนพรวดออกจากบ้านหมามากระโดดเกาะรั้วเห่าแบบเตลิดเลยล่ะ บางวันเห็นผู้เขียนใส่เสื้อสีแดงมันก็ยิ่งตื่นเต้นเห่าระรัวราวกับเสียงปืนกลแตก ทั้งๆปกติแล้วธรรมชาติหมาทั่วไปจะมองเห็นเฉพาะภาพขาวดำเท่านั้น แต่เจ้าหมาตัวนี้ดันมองเห็นภาพสีซะด้วย เลยยิ่งเห่าอย่างเมามันส์ในอารมณ์ จนกว่าผู้เขียนกลับไปเปลี่ยนเสื้อสีใหม่นั่นแหละค่ะ มันถึงค่อยสงบสติอารมณ์ลงมาได้บ้าง แต่ก็มันยังมีเสียงเตรียมสตาร์ทเครื่องในลำคอเบาๆเพื่อกันลืมวิธีเห่าต่อในชุดต่อไปอีกด้วย ดีนะที่บ้านอยู่ออกมานอกกลุ่มบ้านอื่นๆเขา ไม่งั้นล่ะก็คงต้องไปจ่ายค่าปรับทุกวันเรื่องเสียงเห่าที่สร้างความรำคาญและรบกวนประสาทหูชาวบ้านนี่แหละค่ะ
มีคนเคยแนะนำว่าผู้เขียนน่าจะลองซื้อเครื่องกดบังคับเสียงเห่ามาผูกไว้ที่คอของมัน ถ้ามันเห่าโวยวายเมื่อไหร่ล่ะก็ เจ้าของเพียงยืนกดรีโมทอยู่ห่างๆ เครื่องมือจะส่งสัญญาณกระแสไฟฟ้าไปช็อตให้มันหยุดเห่าทันที แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยหรอก เพราะธรรมชาติส่วนตัวของมันเกิดมาเป็นหมาช่างเห่า ก็ต้องยอมรับในความช่างเห่าของมันนั่นแหละค่ะ จะต้องไปดัดแปลงปรับปรุงให้ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวมันได้ไงกัน ในเมื่อโลกนี้ทั้งโลกก็ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบถูกใจคนเราไปซะทุกอย่างนี่นา รักที่จะเลี้ยงมันแล้วก็ต้องยอมรับทั้งข้อดีข้อเสียของมันให้ได้ ถ้ามีหมาแล้วไม่อยากให้มันเห่า ก็น่าจะไปหาเต่า, ปลา, หรือแมลงต่างๆมาเลี้ยงแทนซะดีกว่าค่ะ
ผู้เขียนมี”เจ้าหญิง”หมาบีเกิ้ลพันธุ์ผสม ไปรับมันมาจากบ้านชาวนาในรัฐวิสคอนซิน เพราะเขาเลี้ยงไม่ไหวเลยประกาศแจกฟรีทั้งครอก เจ้าหญิงเป็นบีเกิ้ลตัวเล็กสุดในบรรดาพี่น้องทั้งหกตัวของมัน ไม่มีใครอยากได้หมาบีเกิ้ลตัวเล็ก แถมมีแววตาที่แสนเศร้าอีกด้วย เจ้าหญิงก็เลยได้มาอยู่เป็นเพื่อนกับผู้เขียน ชื่อของมันไม่มีฝรั่งคนไหนเรียกถูกสักคนบางคนออกเสียงเป็น”เจ้ายิ้ง” หรือบางทีเป็น“เจ้าหยิน”บ้าง และบางทีก็เป็น”เจ้าหยิ่ง”บ้างว่ากันให้มั่วไปหมด ไปๆมาๆมันเลยคุ้นกับชื่อ”เจ้าหญิง” มากกว่าชื่ออื่นๆ ก็เลยเลื่อนฐานะจาก”เจ้าหยิน”หมาบีเกิ้ลธรรมดากลายเป็นหมา”เจ้าหญิง”ไปซะเลย
ขึ้นชื่อว่าพันธุ์บีเกิ้ลแล้ว มันจะมีสัญชาตญาณในการออกล่าสัตว์ มีความถนัดเรื่องการออกดมกลิ่น รักการผจญภัยที่ตื่นเต้นเร้าใจ ซื่อสัตย์และรักเจ้าของแบบมีนายที่มันจะยอมรับให้เป็นใหญ่แค่คนเดียว ที่สำคัญมันจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจสูงมาก ถ้าหากว่ามันตั้งใจจะออกไปล่าสัตว์หรือว่ากำลังอยู่ระหว่างในเกมส์การล่าไล่สัตว์อื่นๆอยู่ล่ะก็ มันจะตั้งใจทำหน้าที่ของมันจนกระทั่งเกมส์จบโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นใครที่เลี้ยงหมาพันธุ์นี้มักจะต้องเหนื่อยกับการไล่ตามหาตัวมันที่ชอบวิ่งออกไปไหนต่อไหนไกลๆบ้านเสมอ มีสามีฝรั่งของเพื่อนคนไทยคนหนึ่งไม่รู้จะจัดการกับการหนีเที่ยวบ่อยๆของเจ้าบี้เกิ้ลยังไงก็เลยตัดสินใจใช้ลูกปืนจบชีวิตมันซะเลย ผู้เขียนยังรู้สึกสยดสยองในความทรงจำมาจนถึงทุกวันนี้
วันนี้คุยแค่นี้ก่อน วันหน้าจะกลับมาเล่าต่อค่ะ (สัญญานะ)
หนูเองค่ะ “เจ้าหญิง” นางเอกของเรื่องในวันนี้