มีคนเคยถามว่าถ้าผู้เขียนมีวันพิเศษของตัวเอง อยากไปไหน?และอยากทำอะไรมากที่สุด?
ตอบจากใจจริงเลยว่าอยากและชอบที่จะอยู่บ้านมากที่สุด แม้ผู้เขียนเป็นคนชอบท่องเที่ยว ชอบเห็นอะไรแปลกใหม่เสมอ แต่ความรู้สึกลึกๆคือชอบอยู่บ้านมากที่สุด เพราะบ้านเป็นโลกส่วนตัวที่รู้สึกว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยและผ่อนคลายที่สุด ไม่ต้องตะรอนขึ้นรถลงเรือไปโน่นนี่ให้เหนื่อยยาก ไม่ต้องเครียดว่าจะกลับทันเวลาช้าหรือเร็ว ไม่ต้องหอบข้าวของให้รุงรังวุ่นวาย อยู่กับบ้านนี่แหละคือสวรรค์บนดินที่เดียวในโลก
บ้านของเรา ไม่ว่าจะเป็น กระท่อมทรุดโทรม, ห้องเช่าที่แคบๆ, บ้านหลังเล็ก, หรือ บ้านหลังใหญ่โตระโหฐานแค่ไหนก็ตาม ถ้าคนอยู่รู้สึกมีความพอใจและความสุขที่จะอยู่ บ้านหลังนั้นก็เป็นดั่งสวรรค์ที่ร่มรื่นงดงามที่สุดในโลกของเรา แต่ถ้าอยู่แล้วใจไม่ได้อยู่ด้วย ใจฟุ้งซ่านกระโดดโลดเต้นอยากออกไปโน่น ไปนี่ บ้านก็จะเป็นสถานที่ดั่งคุกจองจำน่าเบื่อหน่าย ต้องหาข้ออ้างหรือหาทางออกไปนอกบ้านจนได้ บางทีหาข้ออ้างให้ตัวเองไม่ได้ก็อ้างส่งเดชไปว่าจะออกไปสูดอากาศในโลกภายนอกซะหน่อยให้หายกลุ้ม ไม่งั้นอึดอัดจะบ้าตายอยู่ในบ้าน แต่ไปแล้วก็ต้องกลับมาบ้าน เพราะไม่รู้จะไปที่ไหนต่อ กลับถึงบ้านก็จมจ่อมในความคิดต่างๆเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ไปพบเห็นจากข้างนอกบ้านมา แล้วก็อยากออกไปอีก วนเวียนไม่รู้จบสิ้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนประเภทนี้มีบ้านไว้เพื่ออะไร? ถ้าอยู่บ้านแล้วเกลียดบ้าน เบื่อบ้าน ก็อย่ามีบ้านเลยดีกว่าไหม? เดินตะรอนร่อนเร่ไปเรื่อยๆรอบโลกให้สบายใจสุดๆดีกว่านะ
วันนี้ผู้เขียนได้อยู่บ้านอย่างเต็มวันสมความตั้งใจที่อยากอยู่ เพราะทุกๆวันภาระกิจการทำมาหากินต้องใช้เวลาอยู่นอกบ้านวันละหลายชั่วโมง เสียดายที่สวนครัวหลังบ้านต้องปิดชั่วคราวเพราะจะเข้าฤดูหนาวอีกไม่กี่อาทิตย์แล้ว ต้นไม้เล็กๆและใบหญ้าแห้งตายอยู่หลังบ้าน บางชนิดก็หลบนิ่งรอผลิดอกออกผลใหม่ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า แต่บ้านก็มีอะไรมากมายที่ให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้เขียน ทั้งหนังสือนานาชนิดหลายกล่องที่รอเปิดอ่าน ทั้งกล่องเศษผ้าที่พร้อมจะทำงานฝีมือได้ทันที ทั้งกระถางต้นไม้หลายสิบต้นที่ขนเข้ามาในบ้านตั้งแต่เดือนตุลาคม เพื่อหลบภัยหนาวข้างนอก เพียงเท่านี้บ้านก็กลายเป็นสวนสนุกสำหรับผู้เขียนไปแล้ว
ต้นมะลิในกระถางสองต้นทำให้ผู้เขียนคิดถึงแม่อย่างจับใจเพราะแม่ชอบต้นมะลิและกุหลาบ วันนี้เป็นวันที่คิดถึงแม่มากที่สุด เพราะแม่ก็ชอบรักษาสภาพความเป็นอยู่ในบ้านให้สะอาดเรียบร้อยเสมอ จัดถูปัดกวาดทุกห้อง แม่ชอบจัดโน่นทำนี่ในช่วงที่แม่มีเวลาว่างๆ แม่บอกเสมอว่าชอบให้บ้านดูโล่งๆโปร่งสบายๆไม่รกด้วยข้าวของ แม่ชอบให้มีแสงสว่างเข้ามาในบ้านมากๆ ไม่ชอบความอุดอู้หรืออับทึบ และหลังจากเสร็จงานทุกอย่างแม่ชอบนั่งอ่านหนังสืออย่างสบายใจ แม่ไม่ชอบอะไรที่ดูรกรุงรังและมักจะบอกเสมอว่า”อะไรที่เราไม่ใช้แล้ว ก็ให้คนที่เขาไม่มีบ้างเถอะ เก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้ แถมรกบ้านอีกด้วย ถ้าอันไหนใช้ไม่ได้ก็ทิ้งๆไปบ้างก็ได้ สมบัติในโลกนี้ล้วนเป็นสมบัติผลัดกันชมทั้งนั้น”
เมื่อตอนผู้เขียนยังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่หนึ่ง ตอนนั้นพวกเรายังอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ แต่แม่จัดทำอย่างสะอาดสะอ้าน แม่ถูพื้นกระดานจนดูเป็นเงาน่านั่ง น่านอนไปทุกที่ น้ำทุกตุ่มแม่จัดการใส่เต็มทุกตุ่ม อาหารในตู้กับข้าวแม่ทำเตรียมรอท่าทุกคน ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง จนผู้เขียนเคยมีความรู้สึกอยากอยู่บ้านทั้งวันกับแม่มากกว่าไปเรียนหนังสือ เพราะบ้านน่าอยู่น่าสบายกว่าที่โรงเรียนมากนัก แต่แม่ก็จะพยายามชักจูงใจให้ไปเรียนหนังสือและไม่ยอมให้ผู้เขียนขาดเรียนง่ายๆ เมื่อทุกครั้งที่ผู้เขียนบอกแม่ว่าอยากอยู่บ้านช่วยแม่เลี้ยงน้อง (“อิ่ง” น้องสาวคนที่สองตอนนั้นอายุประมาณสามขวบกว่าๆ) แม่บอกว่า”เดี๋ยวพออิ่งโตขึ้น ก็จะไปโรงเรียนเหมือนกับอ้อยนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก แม่จะดูน้องเอง อ้อยไปโรงเรียนดีกว่านะ” นั่นคือความรู้สึกที่ผู้เขียนเคยผูกพันธ์กับบ้านมาก มากจนไม่อยากออกไปไหนไกลๆแม้กระทั่งไปเรียนหนังสือก็ไม่อยากไป เพราะมีความรู้สึกว่าบ้านคือที่สุขสบายใจและปลอดภัยที่สุดในโลก
วันนี้ได้อยู่บ้านสมความตั้งใจว่าจะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น รื้อความทรงจำรูปเก่าๆสมัยวัยเยาว์ออกมาชื่นชม ทุกอย่างดูเหมือนเติมเต็มด้วยความสุขแบบเรียบง่าย ความสุขที่ไม่ต้องซื้อหาในราคาแพงๆ เพียงแค่อยู่บ้านก็สุขเปี่ยมล้นแล้ว แต่ทว่ายังขาดอย่างหนึ่งที่สำคัญไป นั่นคือแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คิดถึงแม่เหลือเกิน….