หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวว่า”คนเรารู้วันเกิดของตัวเอง แต่ไม่มีใครรู้วันตายล่วงหน้า” การเกิดมาและใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ มีหลายคนสงสัยว่าอะไรคือจุดหมายของชีวิตกันแน่? บางคนบอกว่าเกิดมาเพื่อแสวงหาโชคลาภ เกิดมาเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองและครอบครัว เกิดมาเพื่อใช้ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ หรือเกิดมาเพื่อไขว้คว้าหาอำนาจและไต่เต้าให้ถึงจุดสูงสุดของความมีอำนาจ เพื่อจะได้บงการคนทั้งโลก ชีวิตเป็นเช่นนั้นใช่ไหม?
แม้คำตอบมีมากมาย เพื่อตอบคำถามของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะคิดว่าหลังจากชีวิตหมดเวลาบนโลกนี้แล้ว วิญญาณของเราจะไปไหน? มีจุดหมายปลายทาง อยู่แห่งใด? การเดินทางในโลกหลังความตายนั้นมีอะไรที่รอเราอยู่บ้าง? และก่อนหมดลมหายใจสุดท้ายจะมีสักกี่คนที่ได้มีโอกาสจากลากับญาติสนิทมิตรที่รักที่เคยอยู่ร่วมโลกกันมา มีหลายคนที่จากไปด้วยความเจ็บป่วยอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายโดยไม่มีโอกาสสั่งลาใครทั้งสิ้น บางคนตายอย่างกระทันหันโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดจบของชีวิตมาถึงรวดเร็วขนาดนี้ เช่นคนที่จากไปด้วยอุบัติเหตุ แต่บางคนกลับเลือกลาจากโลกด้วยการฆ่าตัวตายก็มีมากมายให้เห็น… แต่ทุกคนก็ยังไม่เคยได้คำตอบที่แท้จริงของชีวิตว่าทำไมถึงต้องอยู่?และอยู่เพื่ออะไร?
มีหลายคนที่ตลอดเวลาที่พวกเขามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ไม่เคยมีคำว่าศาสนาหรือความเชื่อใดให้ใจมีที่ยึดเหนี่ยว แต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่ก่อนตายได้รับรู้ว่าในโลกนี้มีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้กำหนดเวลาชีวิตของแต่ละคน และสุดท้ายแล้วเมื่อร่างดับสลาย จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ก็จะกลับคืนสู่อ้อมพระหัตถ์ของพระเจ้าอีกครั้ง ดังเช่นตัวอย่างของพี่น้องสองสาวเพื่อนรุ่นน้องของพี่เพ็ญ(หรือคุณบุญรัตน์ อาดัมส์ )ได้ฝากเรื่องนี้มาให้ผู้เขียนได้ถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้รับทราบเรื่องราว
ติ๋มและนกคำคือชื่อพี่น้องสองสาวชาวอิสานที่พี่เพ็ญมีโอกาสรู้จักเมื่อหลายปีมาแล้ว ทั้งสองสาวมาอยู่อเมริกาก่อนพี่เพ็ญสองปี ทั้งสองพี่น้องมีสามีเป็นชาวอเมริกัน หลังการเดินทางมาถึงอเมริกาแล้ว ทั้งสองยังโชคดีอีกที่มีโอกาสอยู่ในรัฐเดียวกันและอยู่ใกล้กัน สองสาวจึงตัดสินใจร่วมทุนกันเปิดธุรกิจบริการเสริมสวยและช่วยกันทำอย่างขยันขันแข็ง เพราะตอนอยู่เมืองไทยทั้งติ๋มและนกคำต่างก็มีพื้นฐานความรู้ในงานด้านความสวยความงามมาอย่างชำนาญ ติ๋มคนพี่เป็นช่างแต่งเล็บ ส่วนนกคำก็มีฝีมือเรื่องการทำผม งานของทั้งสองจึงไปกันได้ด้วยดี ดังนั้นที่ร้านเสริมสวยนี้จึงมีลูกค้าหลายระดับอายุมาจองคิวรับบริการในแต่ละวัน จนสองพี่น้องแทบไม่มีเวลาพักผ่อน และเคยเป็นร้านที่มีชื่อเสียงพอสมควรในเมืองนั้น พี่เพ็ญเองก็เป็นลูกค้าคนหนึ่งที่ชื่นชอบในฝีมืองานของทั้งสองพี่น้องนี้ด้วยเช่นกัน
ช่วงนั้นครอบครัวของติ๋มและนกคำ คล้ายความฝันแสนสวย และก็เหมือนกับผู้คนทั่วไปที่มีความสุขกับเงินทองและสิ่งของต่างๆที่ตนหามาได้ ชีวิตของทั้งคู่ในแต่ละวันจึงเพลิดเพลินไปกับงานที่สร้างรายได้ให้อย่างล้นกระเป๋า แถมสามีของทั้งคู่ก็เป็นผู้ชายที่มีฐานะดี มีตำแหน่งการงานดีเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคมชั้นสูง ผิดกันก็ตรงที่สามีของนกคำชอบดื่มเหล้าและชอบสนุกสนานเฮฮากับเพื่อนฝูง ในขณะที่สามีของติ๋มเป็นข้าราชการระดับสูงมุ่งทำแต่งาน ครอบครัวของติ๋มมีลูกสาวและลูกชายอย่างละคน ส่วนครอบครัวของนกคำไม่มีลูก
เมื่อชีวิตมั่งมีทั้งเงินทองพร้อมเกียรติยศจึงมองข้ามไปว่าทุกอย่างที่เห็นและที่เป็นนั้นคือสิ่งสมมติของโลกและชีวิตคนเรานั้นไม่ได้มีอะไรที่มั่นคงแน่นอนไปตลอดกาล สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองครอบครัวลืมสิ้นคือการแสวงหาทางจิตวิญญาณ จึงไม่เคยสนใจไปโบสถ์และไม่มีเวลาที่จะฝึกปฏิบัติทางด้านศาสนาใดใด ลืมไปว่าทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ล้วนอยู่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา พระองค์คือผู้กำหนดเวลาสำหรับทุกๆชีวิต
ดังปรากฏข้อความในไบเบิ้ล Ecclessiastes 3 ดังนี้
“พระองค์ทรงกำหนดเวลาเกิดและเวลาตาย
ทรงกำหนดเวลาการเพาะพันธุ์และเวลาแห่งการเก็บเกี่ยว
ทรงกำหนดเวลาการฆ่าทำลายและเวลาการพักรักษา
ทรงกำหนดเวลาการทุบทำลายและเวลาการซ่อมแซม
ทรงกำหนดเวลาความทุกข์โศกและเวลาแห่งความสุขหรรษา
ทรงกำหนดเวลาความโศกเศร้าคร่ำครวญและเวลาแห่งการร้องรำทำเพลง
ทรงกำหนดเวลาแห่งรักและเวลาแห่งความเกลียดชัง
ทรงกำหนดเวลาแห่งที่หวานชื่นและเวลาที่ขื่นขม
ทรงกำหนดเวลาที่เก็บหอมรอมริบและเวลาที่สุรุ่ยสุร่ายสิ้นเปลือง
ทรงกำหนดเวลาแห่งการพบและเวลาแห่งการสูญเสีย
ทรงกำหนดเวลาแห่งความขาดแคลนและเวลาแห่งการฟื้นฟู
ทรงกำหนดเวลาแห่งความเงียบงันและเวลาที่ต้องพูดคุย
ทรงกำหนดเวลาของความรักและเวลาแห่งความเกลียด
ทรงกำหนดเวลาแห่งสงครามและเวลาแห่งสันติภาพ”
วันเวลาผ่านไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นช้าๆในครอบครัวสองพี่น้องที่ยังคงติดลึกในบ่วงมายาแห่งโลก บ่วงนี้ช่างเย้ายวนชวนหลงไหลนักดุจความฝันอันแสนหวานที่ใครๆก็อยากหลับไหลในความฝันนี้ให้นานแสนนาน จนวันหนึ่งติ๋มไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เธอจึงต้องตื่นจากความฝันที่แสนหวานนั้นด้วยความตระหนกตกใจ เมื่อผลการตรวจของหมอสรุปออกมาว่าเธอเป็นมะเร็งเต้านม
ในขณะที่ติ๋มต้องทรมานกับช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วย สามีก็เริ่มมีเวลาให้เธอน้อยลงเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันเขากลับมีเวลามากขึ้นสำหรับการออกไปเที่ยวสองต่อสองกับเพื่อนหญิงที่ทำงานของเขา ความเงียบเหงาเริ่มกระจายแผ่ครอบคลุมบรรยากาศในบ้านอย่างช้าๆ ในที่สุดกิจการที่ติ๋มเคยทำรายได้ให้เธออย่างมากมายก็ปิดตัวลงก่อนที่เธอจะกลายเป็นหญิงป่วยที่นอนรอความตายตามลำพังอย่างหมดหวังในการรักษา เหลือเพียงหัวใจที่ว่างเปล่าไร้ความรักความดูแลเอาใจใส่จากสามี การติดตามรับการรักษาก็เป็นไปอย่างขาดๆหายๆ
พี่เพ็ญเป็นเพื่อนคนสุดท้ายที่พยายามเติมความหวังในหัวใจที่สิ้นหวังของติ๋มด้วยมิตรภาพแห่งคำว่าเพื่อนและด้วยคำของพระผู้เป็นเจ้าจากไบเบิ้ล ในระยะสุดท้ายของติ๋มพี่เพ็ญก็มีโอกาสไปเยี่ยมและได้เห็นสภาพที่ทรุดโทรมร่วงโรยของติ๋มที่เปลี่ยนไปราวคนละคน แม้พี่เพ็ญสงสารแทบขาดใจแต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้มากไปกว่านี้ ในที่สุดวันสุดท้ายก็มาถึง พี่เพ็ญนั่งลงข้างๆติ๋มแล้วบอกเรื่องราวของพระเจ้าให้ติ๋มได้ยินอีกครั้ง
“ติ๋ม เวลานี้แม้เธอยังอยู่ที่นี่ เธอก็ยังมีพี่และน้องสาวของเธอที่อาจจะช่วยดูแลได้บ้าง แต่เมื่อเวลานี้หมดลง พี่หรือใครๆในโลกนี้ก็ไม่อาจติดตามไปช่วยเหลือดูแลเธอได้ มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่สามารถเดินทางไปกับเธอได้ทุกที่และทุกขณะจิต แต่เธอต้องไปพบพระองค์ด้วยความเชื่อและความศรัทธาเท่านั้น เธอจะมีความสุขสบายในอ้อมพระหัตถ์ของพระองค์ในโลกหน้า “ พี่เพ็ญพยายามให้กำลังใจติ๋มระยะสุดท้าย
ทันใดนั้นดวงตาของติ๋มก็เบิกโพลงและร้องออกมาด้วยเสียงแปลกๆ ทุกคนตกตะลึงและตกใจกับอาการของติ๋ม แต่ในที่สุดเธอก็พยักหน้ารับรู้ คล้ายบอกว่าเธอเข้าใจและยอมรับในพระเจ้าแล้วในนาทีนิ้
“เธอยอมรับในพระผู้เป็นเจ้าแล้วใช่ไหมติ๋ม?”พี่เพ็ญกระซิบถาม
ติ๋มไม่ตอบ เพียงพยักหน้าอีกครั้งพร้อมหลับตานิ่ง ใบหน้าที่เคยหมองหม่นมานานกับโรคร้ายที่คุกคามมาตลอดนั้นเปลี่ยนเป็นมีรอยยิ้มจางๆอย่างมีความสุข ลมหายใจของติ๋มเริ่มช้าลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็เป็นการหลับชั่วนิจนิรันดรของติ๋ม เธอหลับอย่างเป็นสุขในวันสุดท้ายที่เธอรู้จักพระเจ้าเป็นครั้งแรก…
สองปีต่อมานกคำผู้เป็นน้องสาวของติ๋มนั้นก็เริ่มมีปัญหาสุขภาพ หมอวินิจฉัยว่าเธอเป็นมะเร็งในเลือดขาว (Lymphocytic leukemia) คำสรุปอาการของหมอเกี่ยวกับอาการป่วยของเธอได้ฆ่าความรู้สึกของนกคำให้ตายลงทันที เธออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกที่หวาดหวั่นและตื่นตระหนกเหมือนกับนักโทษเพิ่งได้ยินคำพิพากษาประหาร การเผชิญโรคร้ายนั้นเป็นความรู้สึกที่แย่ที่สุดในชีวิต แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นเธอต้องรับรู้เรื่องการนอกใจของสามีเธอเองและเขาไม่ได้ทุกข์ร้อนไปกับอาการป่วยของเธอเลย นกคำจึงใช้เวลาตามลำพังส่วนมากอยู่ในบ้านที่เงียบเหงา และอยู่กับหัวใจที่ว่างเปล่าที่ไร้ความรักและความห่วงใยจากสามีของเธอ คนที่เธอยอมอุทิศเวลาหมดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่เพียงเพื่อเขา นกคำนอนร้องไห้อย่างเดียวดายและเจ็บปวด เธอคิดถึงวันเวลาที่เคยมีความสุขและทุกสิ่งอย่างที่เปลี่ยนไปช้าๆ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับสภาพที่เป็นและหมกมุ่นครุ่นคิดว่าทำไมบทสุดท้ายของชีวิตเธอจึงคล้ายกับติ๋มผู้เป็นพี่สาวเหลือเกิน
พี่เพ็ญมิอาจนิ่งดูดายในความทุกข์อันแสนสาหัสของนกคำได้ จึงพยายามชวนนกคำออกไปทานข้าวด้วยกันบ้าง อีกทั้งคอยให้กำลังใจกับอาการป่วยของนกคำเท่าที่มีโอกาส และทุกครั้งที่ได้เจอกัน พี่เพ็ญจะสวดอ้อนวอนพระเจ้าให้นกคำเพื่อให้เธอมีขวัญและกำลังใจดีขึ้นบ้าง จนนกคำเริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับพระเจ้าและโบสถ์ที่พี่เพ็ญไปประจำ
“หนูอยากรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเหมือนพี่เพ็ญบ้าง” นกคำเอ่ยขึ้นในวันหนึ่ง พี่เพ็ญแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าประโยคนั้นมาจากนกคำ
“แต่หนูไม่ใช่คริสเตียน หนูไม่มีโบสถ์ที่จะไป แล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงดี?” นกคำพูดต่อ
“พี่ดีใจมากและเต็มใจยิ่งที่จะช่วยเธอ” พี่เพ็ญตอบ
ตอนนั้นอาการป่วยของนกคำก็ทรุดลงมากแล้ว พี่เพ็ญจึงนำเรื่องของนกคำมาปรึกษากับหลวงพ่อที่โบสถ์ที่พี่เพ็ญเป็นสมาชิกอยู่ นกคำจึงได้ผ่านการเข้าพิธีบัพติสเป็นคริสเตียนที่เกิดใหม่โดยสมบูรณ์ แม้เป็นการเกิดใหม่ในร่างที่กำลังแตกดับ แต่นกคำก็รับรู้ด้วยความปลื้มปิติใจว่าหากเมื่อเธอจากโลกนี้ไปแล้ว เธอจะมีประตูแห่งสวนสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าเปิดรอเธออยู่ เธอเข้าใจแล้วว่าความหมายของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ก็เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง
หลังจากการบัพทิสเป็นคริสเตียนใหม่ได้สิบสองวัน นกคำก็เดินทางจากทุกคนไปอีกครั้งเหมือนที่เธอเคยเดินทางลาจากครอบครัวที่เมืองไทยไปอยู่อเมริกา แต่การเดินทางครั้งนี้นกคำไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า และเธอจะอยู่ที่นั่นอย่างถาวรโดยไม่มีความเหงาเดียวดายและไม่มีความเจ็บปวดอีกต่อไป…